คุณรู้หรือไม่? การปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย เช่น อุณหภูมิน้ำหรือระดับการบด สามารถเปลี่ยนรสชาติของกาแฟได้อย่างมาก เราอยากให้คุณลองทดลองชงกาแฟในหลายๆ แบบเพื่อค้นหาสูตรที่คุณชอบที่สุดดู!
หากคุณต้องการดื่มด่ำกับรสชาติที่สมบูรณ์แบบของกาแฟ Specialty นี่คือ 5 เคล็ดลับที่คุณไม่ควรพลาด!
1. น้ำที่ใช้สำคัญกว่าที่คิด
หลายคนอาจมองข้ามน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟ แต่น้ำมีผลต่อรสชาติอย่างมาก น้ำที่มีแร่ธาตุสูงเกินไปจะทำให้กาแฟมีรสชาติเฝื่อน ในขณะที่น้ำที่อ่อนเกินไปก็ทำให้กาแฟจืดชืด แนะนำให้ใช้น้ำกรองที่มีค่าความแข็ง (Hardness) เหมาะสมเพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดของกาแฟออกมา
2. อัตราส่วนระหว่างน้ำและกาแฟ (Coffee-to-Water Ratio)
การชงกาแฟที่สมดุลขึ้นอยู่กับอัตราส่วนระหว่างกาแฟกับน้ำ หากคุณใช้กาแฟน้อยเกินไป กาแฟจะจืด แต่ถ้าใช้มากเกินไป กาแฟจะขมจนเกินไป อัตราส่วนมาตรฐานที่แนะนำคือ 1:15 (กาแฟ 1 กรัมต่อน้ำ 15 กรัม) แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความชอบ

3. การควบคุมอุณหภูมิของน้ำ
น้ำร้อนเกินไปสามารถทำให้กาแฟมีรสขมและไหม้ได้ ในทางกลับกัน น้ำที่เย็นเกินไปจะทำให้รสชาติกาแฟไม่เต็มที่ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการชงกาแฟ Specialty อยู่ที่ประมาณ 90-96 องศาเซลเซียส คุณสามารถใช้เครื่องวัดอุณหภูมิหรือต้มน้ำให้เดือดแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาทีก่อนนำมาใช้
4. เวลาในการสกัด (Extraction Time)
เวลาในการชงหรือสกัดกาแฟมีผลต่อรสชาติอย่างมาก หากสกัดนานเกินไป กาแฟจะขมและไม่อร่อย แต่หากสกัดสั้นเกินไป กาแฟจะจืดชืด เวลาสกัดที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับวิธีการชง แต่โดยทั่วไปสำหรับการชงแบบ Pour Over หรือ Drip ควรใช้เวลาประมาณ 3-4 นาที
5. การบดเมล็ดกาแฟ (Grind Size)
ระดับการบดเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก บดหยาบเกินไปกาแฟจะจืด แต่หากบดละเอียดเกินไปกาแฟจะขม การเลือกขนาดการบดต้องขึ้นอยู่กับวิธีการชง เช่น ถ้าใช้ French Press ควรใช้กาแฟบดหยาบ แต่ถ้าเป็น Espresso ควรใช้กาแฟบดละเอียด
เคล็ดลับ 5 ข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถชงกาแฟ Specialty ได้อย่างสมบูรณ์แบบ รสชาติที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องของเมล็ดกาแฟที่คุณเลือกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการดูแลในทุกขั้นตอนของการชง
ถ้าคุณต้องการสัมผัสรสชาติที่สมบูรณ์แบบของกาแฟ Specialty ในบทความต่่อไป และจะแนะนำวิธีเลือกกาแฟที่มาจากแหล่งปลูกคุณภาพสูงทั่วโลก พร้อมกับอุปกรณ์ชงกาแฟที่เราแนะนำ ที่จะช่วยให้คุณชงกาแฟเหมือนบาริสต้ามืออาชีพ!