Arabica vs. Robusta – ความแตกต่างระหว่างสองสายพันธุ์กาแฟยอดนิยม

arabica and robusta
เมื่อพูดถึงกาแฟ หลายคนอาจไม่รู้ว่ากาแฟที่เราดื่มทุกวันมีเมล็ดกาแฟสองสายพันธุ์หลักที่สำคัญ คือ อาราบิก้า (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta)

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นเมล็ดกาแฟ แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งในด้านรสชาติ ลักษณะการปลูก และการใช้งานในเครื่องดื่มกาแฟต่าง ๆ มาดูกันว่าความแตกต่างระหว่างกาแฟสองสายพันธุ์นี้คืออะไรบ้าง!

เกร็ดความรู้สนุก ๆ กาแฟอาราบิก้าคิดเป็นประมาณ 60-70% ของการผลิตกาแฟทั่วโลก โรบัสต้ามีราคาถูกกว่าอาราบิก้าเนื่องจากการปลูกที่ง่ายกว่าและการเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่หลากหลาย เมล็ดโรบัสต้ามีรูปร่างที่กลมกว่า ในขณะที่อาราบิก้ามีรูปร่างยาวและแบนกว่า

1. แหล่งกำเนิดและการปลูก

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่มีผลอย่างมากต่อรสชาติของกาแฟก็คือ “แหล่งกำเนิด การเลี้ยงดู และกระบวนการในการผลิตสารกาแฟ” เพื่อที่จะนำมาคั่วและชงดื่ม

  • อาราบิก้า (Arabica): กาแฟสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุด มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ภูเขาของเอธิโอเปีย กาแฟอาราบิก้าชอบอากาศเย็นและเจริญเติบโตในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600-2000 เมตร จึงทำให้การปลูกอาราบิก้ายากกว่าสายพันธุ์อื่น

  • โรบัสต้า (Robusta): กาแฟโรบัสต้า มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกและเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นและพื้นที่ต่ำ โรบัสต้าปลูกได้ง่ายกว่าเพราะต้านทานโรคและแมลงได้ดีกว่าอาราบิก้า
Ethopia coffee

2. รสชาติและกลิ่น

อีกหนึ่งข้อสังเกตของผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟนั่นก็คือ กลิ่น และรสชาติของกาแฟนั่นเอง เนื่องจากกลิ่นที่ดีจะมีผลต่อการรับรสที่ดีด้วยเช่นกัน แต่ความชอบของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ดังนั้น เราลองมาดูความต่างของกลิ่น และรสชาติของเจ้ากาแฟสองชนิดนี้กัน

  • อาราบิก้า (Arabica): กาแฟอาราบิก้ามีรสชาติที่หลากหลายและซับซ้อนกว่า มักมีกลิ่นหอมหวานและมีความเป็นกรดที่สูง ทำให้ได้รสชาติที่นุ่มนวล หวานนิด ๆ หรือบางครั้งอาจมีรสช็อกโกแลตหรือผลไม้ผสมอยู่ด้วย

  • โรบัสต้า (Robusta): โรบัสต้ามีรสชาติที่เข้มและขมมากกว่า มีเนื้อกาแฟที่หนาแน่นและมีกลิ่นรสที่บางครั้งคล้ายกับดินหรือถั่ว โรบัสต้ามีความเป็นกรดต่ำและมักใช้ในการทำกาแฟเอสเปรสโซ่เพราะให้ครีมาหนาแน่น

3. ปริมาณคาเฟอีน

อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญก็คือ “ปริมาณคาเฟอีน” นั่นเอง ที่ทำให้ถกเถียงกันในวงกว้างถึงผลกระทบของเจ้าพืชเมล็ดเล็กๆ นี้ทีมีต่อสุขภาพ เราก็ลองมาเปรียบเทียบกันดูนะครับว่า กาแฟแต่ละชนิดจะมีจำนวนคาเฟอีนเท่าไหร่ อย่างไร

  • อาราบิก้า (Arabica): มีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าโรบัสต้า โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5% ของน้ำหนักเมล็ดกาแฟ

  • โรบัสต้า (Robusta): มีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่า อยู่ที่ประมาณ 2-2.7% ของน้ำหนักเมล็ดกาแฟ นี่คือเหตุผลที่กาแฟโรบัสต้ามักให้รสชาติที่เข้มข้นและมีพลังงานสูงกว่า

4. รูปแบบการใช้งาน

ในส่วนนี้นี่เองที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมบางแบรนด์ใช้อาราบิก้า บางแบรนด์ใช้โรบัสต้า หรือแม้กระทั่งบางแบรนด์ก็นำมาผสมกันในสัดส่วนที่ต่างกัน เรามาดูเหตุผลกันว่า ในความเป็นจริงแล้ว กาแฟแต่ละชนิดนั้นเหมาะกับการดื่มแบบไหนกัน?

  • อาราบิก้า (Arabica): ด้วยรสชาติที่นุ่มนวลและซับซ้อน กาแฟอาราบิก้ามักถูกใช้ในกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) หรือกาแฟที่ต้องการคุณภาพสูง มักใช้ในการชงกาแฟดริปหรือกาแฟแบบฟิลเตอร์เพื่อดึงรสชาติออกมาอย่างเต็มที่

  • โรบัสต้า (Robusta): ด้วยรสชาติที่เข้มข้นและความสามารถในการสร้างครีมา โรบัสต้ามักถูกใช้ในการทำกาแฟเอสเปรสโซ่ และยังนิยมใช้ในการผลิตกาแฟสำเร็จรูปเนื่องจากราคาถูกและมีปริมาณคาเฟอีนสูง

แม้ว่ากาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้าจะมาจากพืชกาแฟ แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของรสชาติและการใช้งาน หากคุณชอบกาแฟที่มีกลิ่นหอม นุ่มนวล และรสชาติซับซ้อน อาราบิก้าอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้าคุณชอบกาแฟเข้มข้นและมีพลังงานสูง โรบัสต้าคือคำตอบของคุณ

Share the Post:

Related Posts

Caffeined

คาเฟอีน..ต้องเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ามากเกินไป?

คาเฟอีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกาแฟที่หลายคนหลงรัก มันช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัวและเพิ่มพลังงาน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าควรดื่มกาแฟมากเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย? แล้วมีผลกระทบอะไรบ้างถ้าเราดื่มเกินไป?

Read More
Coffee DECAF

กาแฟดีแคฟคืออะไร และใครที่ชอบดื่มเจ้าสิ่งนี้?

สำหรับบางคน การดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน หรือที่เรียกว่า กาแฟดีแคฟ เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบในการรับรสชาติของกาแฟโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของคาเฟอีน

Read More